Thursday, November 23, 2006

บทความเรื่อง มหัศจรรย์ชาเขียว?

บางทีไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายุคนี้สมัยนี้ ฮิต "ชาเขียว" กันจัง เอะอะอะไร ก็ชาเขียว พอเวลาเครียดปวดหัว เพื่อนก็แนะนำให้ดื่มชาเขียว พอเวลาอยากหน้าใสไร้สิว ก็ให้ใช้ครีมล้างหน้าผสมชาเขียว หรือถ้าอยากผอมก็ต้องทานชาเขียวสกัด อะไรกันนักกันหนา...สังคมเราติดเชื้อชาเขียวฟีเวอร์แล้วหรือเนี่ยะ
ไม่ต้องอะไรหรอกครับ แค่ได้ไปเดินเบียดแถวย่านตลาดนัดจตุจักรในช่วงสุดสัปดาห์ ก็เห็นแต่ขวดชา ขายอยู่กันเกลื่อน ชนิดว่ากระหายเมื่อไหร่ ยื่นเงินมา ได้ชื่นใจเป็นแน่นอน จนบางทีแอบมีความรู้สึกว่า "ถูกบังคับ" ให้ดื่ม เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ตามก็ต้องมีให้เห็น เป็นแน่นอน ส่วนคนที่ไม่เคยลองก็ต้องลอง เพราะร้อนขนาดนี้ อยู่ตรงหน้าแล้ว เอาซะหน่อยจะเป็นไรไป
ความจริงแล้ว ประโยชน์ของชาเขียวนั้นมีมากมายก่ายกอง อย่างการมี "อนุมูลอิสระ" ที่สามารถต่อต้าน และป้องกันโรคมะเร็ง หรือช่วยในการลดคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีอีกหลายสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งเหมาะกับคนสมัยใหม่ ที่เริ่มให้ความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพมากขึ้นจนบางทีทำให้นึกว่าเป็น "ยาวิเศษ" ของยุคนี้ไปซะแล้ว
แต่ปัญหาคือ ถ้าถามว่าทำไม ถึงชอบชาเขียว ส่วนใหญ่มักจะให้คำตอบว่า "อร่อยดี...ชื่นใจ" แต่ไม่รู้หรอกว่ามันมีสรรพคุณอะไรบ้าง แค่ตามเทรนด์เอา บางคนพอรู้บ้างว่าดื่มชาเขียวแล้วทำให้ผอมได้จริง ก็เล่นดื่มแทนน้ำกันซะเลย เอ...ถ้าหวังผอม ทำไมไม่ลองดื่มน้ำดอกคำฝอยกันบ้างล่ะครับ ประสิทธิภาพดีกว่าเยอะ หรือว่าไม่ใช่ของพี่ยุ่นปี่..ญี่ปุ่น เลยไม่น่าทาน ทั้งที่สมุนไพรไทย อย่างน้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำใบบัวบก และอื่นๆ ก็มีสรรพคุณเหลือหลาย แต่กลับไม่เป็นที่นิยม
ลองคิดดูเล่นๆ ซิครับ ถ้าพี่ยุ่นแกมาตีกอล์ฟในเมืองไทย แล้วเกิดกระหายน้ำขึ้นมาและติดอกติดใจน้ำตะไคร้ของไทยเราเอง จนนำไปขายที่ประเทศของเขาบ้าง อย่างนี้เราจะฮิตตามเขามั้ยน๊า..
นอกเหนือจากคุณค่าของชาเขียวที่กำลังฮิตในบ้านเรา สิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เข้ามาอยู่ในใจของนักดื่ม คือการโปรโมต โฆษณา ชวนเชื่อทำให้เกิดอาการอยากลิ้มลอง แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ การนำ "วัฒนธรรมญี่ปุ่น" มาขาย!
สังเกตได้เลยว่า เดี๋ยวนี้ภัตตาคารญี่ปุ่นเกิดขึ้นราวกับดอกเห็ดในหน้าฝน ส่วนการตกแต่งบ้านก็ต้องออกสไตล์โมเดิร์นเซน ที่ยึดถือความเรียบง่าย ตามแบบฉบับของพี่ยุ่น หรือแม้กระทั่งแฟชั่นสไตล์คาวาอิ น่ารัก คิกคุ ก็มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ในหมู่วัยรุ่น
เชื่อมั้ยครับบางคนต้องเดินถือขวดชาเขียว เพราะบ่งบอกถึงความมีรสนิยมที่ดี บางทีแอบเห็นคนทานข้าวราดแกงจานละ 20 บาท ก็ยังต้องสั่งชาเขียวมาล้างคอแก้เผ็ดเลยครับ
เราตอบได้ตรงๆ เลยว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นกำลังฮิตมาก พีกสุดๆ ในบ้านเรา จนบางทีผมกับลุงชาร์ลี (ผู้ไม่ถนอมวัย) เกิดคิดสนุกๆ ขึ้นมาว่าขนาดตัวอักษรบนฉลากสินค้า ยังต้องมีการดีไซน์ให้ออกมาในแนวญี่ปุ่นเลย เอ...ถ้าผมลองใช้อักษรไทยโบราณสไตล์พ่อขุนรามคำแหง มาเขียนบนฉลากของขวดชาเขียว...รับรองเลยครับ ว่าขายไม่ได้หรอก! เพราะไม่มีตัวอักษรคันจิ...เอากะเขาซิครับ ขนาดตัวอักษรยังต้องออกในแนวชาวอาทิตย์อุทัยเลยครับ จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว!
เท่าที่ผมยังจำความได้ตอนสมัยเรียนอยู่ชั้นประถม อาจารย์เขาเคยสอนว่า ใบชาเมื่อได้บริโภคแล้ว แน่นอนว่าติด ต้องดื่มอยู่เป็นประจำ เช่นเดียวกับกาแฟ เพราะมีสารกาเฟอีนอยู่ ขนาดโคคาโคล่าก็ยังมีสารตัวนี้อยู่เลย ซึ่งทำให้คนทั่วโลกติดกันงอมแงม เพราะถ้าไม่ดื่ม ไม่สดชื่น
แล้วอย่างนี้การดื่มชาเขียวบ่อยๆ จะทำให้เราติดมั้ย แบบนี้ คนขายก็รวย ส่วนคนดื่มก็ติดกันโดยไม่รู้ตัว เป็นไปได้หรือเปล่าที่ชาเขียวจะมีโอกาสแย่งชิงบัลลังก์เครื่องดื่มจากโคคาโคล่า กับเขาบ้าง?
แต่ถ้าพูดถึงชาเขียว และวัฒนธรรมของชาวอาทิตย์อุทัยโดยทั่วไปแล้ว ผมว่าเสน่ห์ของชาเขียวคือ ประเพณีการชงชาที่ละเอียดอ่อน ละมุนละไม เพราะกว่าจะชงได้สักแก้วนั้น คนชงต้องกลั่นกรองความรู้สึก ความเอาใจใส่ ความรัก และที่สำคัญคือศักดิ์ศรีของศิลปะการชงชา แบบว่า โรแมนติก สวีท กว่าวันวาเลนไทน์เป็นไหนๆ แต่เดี๋ยวนี้ซิครับ "บรรจุแล้วแข่งขันขาย" อย่างนี้จบข่าวครับ เสียหมด
ผมว่าสังคมยุคใหม่ กำลัง "เลี่ยน" กับชาเขียวแล้วครับ เพราะผลิตภัณฑ์ชาเขียวมีเยอะจนเกินไป ขนาดซาลาเปาไส้หมู ยังดันใส่ชาเขียวในตัวแป้ง (บางทีแค่แอบใส่สี) หมดอารมณ์จริงๆ จนทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของชาตัวนี้เสื่อมลง แล้วในที่สุดก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า มันดีจริงหรือ? ถ้าโฆษณาชวนเชื่อ และการทำการตลาดชั้นยอด ยังคงบุกกระหน่ำผู้บริโภคให้หลงเชื่ออยู่อย่างนี้ แบบนี้จะเหลือเหรอครับ ถ้าคิดไม่ทัน
วันนี้ คุณดื่ม (ทาน) ชาเขียวแล้วหรือยังครับ?
เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล Akalak_yimwilai@yahoo.co.uk

No comments: